“เฮ้ๆ รู้ข่าวกันหรือยัง?”
“ข่าวอะไร? ใช่ข่าวที่ว่าจะมีนักเรียนย้ายเข้ามาใหม่ใช่ไหม?”
“ใช่ๆ เห็นว่าเป็นสาวต่างชาติสุดสวยด้วยนะเฟ้ย”
“เห็นเป็นผู้หญิงไม่ได้ พวกผู้ชายก็แบบนี้ทุกที”
“อิจฉาหรอยัยเพิ้งนี่?”
“พูดจากับผู้หญิงให้มันดีๆหน่อยสิ! จะว่าไปเธอคนนั้นมาจากไหนหรอ?”
“เห็นว่ามาจากโรงเรียนวัลคิเรียสาขาอังกฤษน่ะ”
“โรงเรียนวัลคิเรียหรอ?”
“ใช่ โรงเรียนสอนหลักสูตร Checkmate อันดับหนึ่งของทวีปยุโรปน่ะ เห็นว่ามีสาขาแทบจะทุกประเทศในยุโรปเลยล่ะ แถมแต่ละคนที่จะได้เรียนที่นั่นต้องระดับหัวกะทิทั้งนั้น ส่วนสาขาอังกฤษนี่ก็เป็นสาขาหลักน่ะนะ”
“แสดงว่าต้องเก่งสุดๆแน่ๆเลย แต่ทำไมถึงเลือกมาเรียนที่นี่กันนะ?”
หลังจากโรงเรียนมิไรเคียวสิ้นสุดการหยุดเรียนภาคฤดูร้อน เหล่านักเรียนในระดับชั้นมัธยมปลายปีสามก็คึกคักกันตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียน หัวข้อการสนทนาเหมือนจะเป็นเรื่องของนักเรียนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่
การย้ายเข้ามาระหว่างภาคเรียนของนักเรียนใหม่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนไหนก็ต่างมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้เสมอ แต่สำหรับเคสนี้ นักเรียนใหม่ดูจะเป็นชาวต่างชาติแถมยังมาจากโรงเรียนหลักสูตร Checkmate อันดับหนึ่งของยุโรป จึงไม่แปลกอะไรที่จะมีคนสนใจมากเป็นพิเศษ
“แล้วเธอคนนั้นจะย้ายมาห้องไหนหรอ?”
“ถ้าจำไม่ผิดน่าจะห้อง 3-B นะ”
เมื่อเสียงออดดังขึ้น เสียงคึกคักเหล่านั้นก็เงียบลงเหมือนจักจั่นหยุดร้อง แม้ทุกคนจะยังอยากคุยกันอยู่ก็ตาม โดยเฉพาะนักเรียนห้อง 3-B ที่กำลังจะมีเพื่อนร่วมห้องคนใหม่เป็นนักเรียนสาวชาวต่างชาติอย่างที่คุยกันเมื่อสักครู่
ไม่นานนัก อาจารย์ประจำห้อง 3-B ก็เดินเข้ามาภายในห้องเพื่อเตรียมโฮมรูม และแจ้งเรื่องของนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาให้ทราบ ซึ่งทุกคนในห้องคงจะรอเวลานั้นมานานแล้ว
“ครูว่าทุกคนคงรู้กันอยู่แล้วใช่ไหมว่าวันนี้จะมีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามา ถ้างั้นก็ช่วยต้อนรับเธอดีๆแล้วกัน เอ้า เข้ามาได้แล้ว”
จากนั้นนักเรียนใหม่ที่ว่าก็ค่อยๆเดินเข้ามาในห้อง
อย่างที่ทุกคนรู้กันดี เธอเป็นนักเรียนหญิงชาวต่างชาติ
เธอมีรูปลักษณ์แบบชาวยุโรปในความคิดของคนทั่วๆไป นั่นคือมีผมสีทองและตาสีฟ้า
เข็มกลัดที่ติดอยู่บนหน้าอกเสื้อของเธอเป็นตำแหน่ง ‘ควีน’ บวกกับปูมหลังที่มาจากโรงเรียนอันดับหนึ่งของทวีปยุโรป ส่งผลให้เธอเหมือนมีออร่าที่เปล่งประกายออกมาแม้เพียงแค่ยืนเฉยๆ
ใบหน้าสวยคมของเธอหันตรงไปด้านหน้าโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆให้เห็น ชื่อของเธอปรากฏขึ้นมาเป็นภาพฉายบนกระดาน โดยชื่อนั้นถูกเขียนเป็นภาษาอังกฤษกำกับด้วยตัวอักษรคาตากานะ อ่านได้ว่า ‘ซิลวี่ ลาวาริเอลล์’
“คุณลาวาริเอลล์เองก็สนิทกับเพื่อนๆในห้องเข้าไว้นะ เชิญนั่งที่ว่างตรงนั้นได้เลย”
อาจารย์ประจำชั้นกล่าว ซิลวี่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะว่างอย่างเงียบๆ แน่นอนว่านักเรียนในห้องก็ต่างมองตามเธอไปเป็นแถวเหมือนเห็นของแปลก คงเพราะนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่มีนักเรียนต่างชาติเข้ามาเรียนที่มิไรเคียวจึงทำให้เป็นจุดสนใจเป็นพิเศษ
แม้ทุกคนจะอยากเข้าไปคุยกับเธอเพียงใด แต่ก็ต้องรอให้คาบเรียนหมดลงก่อน เมื่อการเรียนการสอนดำเนินไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้ว วันนี้ห้อง 3-B มีเรียนในคาบบ่าย นักเรียนส่วนน้อยจึงเดินออกจากห้องเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวัน ส่วนนักเรียนโดยส่วนมากนั้นสนใจซิลวี่มาตั้งแต่แรกแล้ว จึงได้เริ่มเดินกรูเข้ามาพูดคุย
“นี่ๆ คุณลาวาริเอลล์ ทำไมถึงได้ย้า-”
ทว่าก่อนที่คำถามของนักเรียนหญิงคนหนึ่งจะจบดี ซิลวี่ก็ลุกขึ้นพรวดจากโต๊ะเดินออกจากห้องเหมือนเจ้าของคำถามเป็นอากาศธาตุ เล่นเอานักเรียนหญิงคนนั้นหน้าเจื่อนไปเลย
แน่นอนว่าการแสดงพฤติกรรมที่ดูเสียมารยาทเช่นนี้คงไม่ทำให้ใครรู้สึกดีแน่ นักเรียนที่สนใจจะเข้ามาคุยกับซิลวี่ในตอนแรกต่างพูดคุยซุบซิบกันระงมไปทั่ว จนกระทั่งซิลวี่เดินกลับห้องมาอีกครั้ง เสียงซุบซิบนั้นก็ยังไม่เงียบลง อีกทั้งแต่ละคนก็ชายตามองเธอแบบไม่พอใจ
แต่ซิลวี่ก็ไม่ได้ดูใส่ใจอะไรทั้งสิ้น เธอเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง ซึ่งเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่มีนักเรียนหญิงสามคนเดินเรียงหน้าเข้ามาหาเธอ
“นี่ หล่อนน่ะ มาประลองกัน”
นักเรียนหญิงสามคนนั้นแต่งตัวไม่เรียบร้อยและแต่งหน้าจัด เหมือนพวกสาวแสบประจำห้อง สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังมีตำแหน่งเป็นรุค ส่วนคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดแล้วเพิ่งกล่าวท้าประลองซิลวี่ไปเป็นตำแหน่งไนท์
“ฟังรู้เรื่องหรือเปล่า? บอก-ว่า-มา-ประ-ลอง-กัน ดูเอลอ่ะ ดูเอล”
เมื่อซิลวี่ไม่ตอบอะไร นักเรียนหญิงคนนั้นก็พูดช้าๆแบบยียวนก่อนที่จะต่อด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแย่ๆ ซึ่งก็ไม่ได้ผลอะไรเมื่ออีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ
“กลัวแพ้หรือไง? ก็นะ เรียนโรงเรียนอันดับหนึ่งของยุโรป แต่จู่ๆก็มาเข้าเรียนที่นี่ มันก็ดูแปลกๆอยู่แล้ว คงฝีมือห่วยแตกมากจนเรียนต่อไม่ได้น่ะสิ? เข็มกลัดนั่นติดผิดหรือเปล่า?”
เมื่อพูดจบแก๊งสามสาวก็หัวเราะกันสนุกปาก แม้จะโดนดูแคลนขนาดนั้นแต่ซิลวี่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา หรือบางทีเธออาจจะฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออก
นักเรียนหญิงตำแหน่งไนท์จึงเริ่มเดาะลิ้นแบบหงุดหงิด แต่สักพักทางซิลวี่ก็ค่อยๆหยิบอุปกรณ์ VR ขึ้นมาเตรียมสวมใส่ เหมือนว่าเธอจะเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่คนพวกนี้จะสื่อคืออะไร หรือไม่ก็เข้าใจภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่แรกอยู่แล้วเพียงแต่ไม่แสดงออกด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่
พอเห็นแบบนั้นกลุ่มสาวแสบจึงแสยะยิ้มทันที ก่อนที่จะหันไปกระซิบกระซาบอะไรกันบางอย่าง จากนั้นนักเรียนหญิงที่ท้าประลองซิลวี่ก็เดินไปที่โต๊ะของตัวเองแล้วสวมอุปกรณ์เพื่อเข้าไปในเกมทันที
นักเรียนในห้องที่สนใจการประลองนี้จึงเริ่มทยอยกันเข้าไปในเกมในฐานะผู้รับชม ซิลวี่เองก็เข้าไปอยู่ในเกมแล้ว เธอกำลังอยู่ในห้องสำหรับเตรียมตัว ด้านตรงข้ามมีสาวแสบไนท์ที่ยืนรอท้าประลองเธออยู่
แล้วสาวแสบรุคอีกสองคนก็ตามเข้ามาในเกมแบบติดๆ โดยไม่ได้อยู่ในตำแหน่งผู้รับชม แต่เป็นตำแหน่งของผู้เล่น โดยไม่ต้องอธิบายอะไรมากก็เข้าใจได้ในทันทีว่าซิลวี่กำลังจะเจอกับอะไร
“ขอโทษทีน้า คือลืมมมบอกไปเลยว่า ฉันจะเล่นกติกาสามรุมหนึ่งกับเธอน่ะ”
สามคนนี้คงตั้งใจที่จะรุมเธอในการประลองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จริงอยู่ว่ากติกาแบบแต้มต่อนั้นไม่ได้ผิดกฎใดๆของเกม แต่สำหรับเคสนี้แน่นอนว่าซิลวี่ไม่ได้เห็นชอบหรือยินยอมอะไรด้วย การประลองครั้งนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการหมาหมู่ของพวกอันธพาลเท่านั้น
สมรภูมิที่ถูกเลือกนั้นคือสมรภูมิว่างเปล่าที่มีเพียงท้องฟ้าและพื้นดินที่ดูแห้งแล้ง ซึ่งถือว่าเป็นสมรภูมิแบบมาตรฐานที่ไม่มีลูกเล่นอะไรมากนัก
ทางสามสาวแสบคงไม่ได้สนใจกับเรื่องพวกนี้ เพราะจุดประสงค์ของพวกเธอคือการกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่การประลองอยู่แล้ว
เมื่อทุกอย่างพร้อม ระบบก็เริ่มนับถอยหลังจนถึงศูนย์ ตามมาด้วยเสียงของระบบที่ส่งสัญญาณให้เริ่มการประลอง
“เรียกอาวุธออกมาก่อนเลย เพราะต่อจากนี้เธอคงไม่มีโอกาสได้เรียกแล้วล่ะนะ”
คำพูดดูถูกยังคงพรั่งพรูมาจากปากของกลุ่มสาวแสบตรงหน้าซิลวี่อย่างไม่ขาดสาย แต่เธอก็ยังคงไม่แสดงอารมณ์หรือพูดอะไรสักอย่างออกมา
“จงออกมารับใช้ข้า ดราเชี่ยน!”
จนกระทั่งซิลวี่เอ่ยปากพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรก หลังจากสิ้นเสียงของเธอ จู่ๆท้องฟ้าก็มืดครึ้มลงทันใด เส้นสายฟ้าฟาดลงมาพร้อมกับเสียงคำรามจากฟากฟ้าดังสนั่นหวั่นไหว ลมพายุสลาตันพัดเสื้อผ้าหน้าผมของทุกคนในสมรภูมิรบจนปลิวว่อน ราวกับกำลังจะมีภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้น
สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นท่ามกลางเวหา ปีกของมันกระพือไปมาเพื่อทรงตัวอยู่บนอากาศ นั่นคงเป็นต้นเหตุของลมพายุเมื่อครู่ ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆร่อนลงพื้นบริเวณด้านหลังของซิลวี่ บ่งบอกว่ามันเป็นพันธมิตรกับเธอ และ ‘ดราเชี่ยน’ ก็คงจะเป็นชื่อของมัน
มันคือมังกรขนาดยักษ์ที่พบเห็นได้ตามเทพนิยาย ร่างกายของมันเป็นสีเทาหม่นเหมือนเมฆฝน เสียงคล้ายไฟฟ้าลัดวงจรดังขึ้นจากตัวมันเป็นระยะๆ ราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนอยู่ทั่วร่างของมัน
ความน่าเกรงขามของมังกรตัวนี้ทำให้กลุ่มสาวแสบยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง ท่าทีอวดดีเมื่อครู่แทบไม่หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย รวมทั้งนักเรียนที่เข้ามาร่วมชมการประลองนี้ ก็รู้สึกตะลึงจนแทบจะหมดคำพูดไปเลยเช่นกัน เพราะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ในการประลองมาก่อน
‘นะ นั่นมันอะไรเนี่ย!? เกมนี้มันมีของแบบนี้ด้วยหรอ?’
‘สาบานได้ ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนจริงๆ’
‘ฉันคิดว่า มันคือ ‘อสูรรับใช้’ น่ะ’
‘อสูรรับใช้หรอ!?’
‘ใช่ เปรียบเสมือนอาวุธชนิดนึงน่ะ แต่ผู้เล่นน้อยคนที่จะได้ครอบครองมัน ถ้าตามภาษาเกมก็ของระดับซุปเปอร์ของซุปเปอร์แรร์เลยล่ะ ฉันก็เพิ่งเคยเห็นของจริงครั้งแรกนี่แหละ ขนาดที่มิไรเคียวเองยังไม่เคยเห็นใครมีสักคนเลย’
เหล่าผู้ชมต่างพูดคุยให้ความเห็นกันไปต่างๆนาๆในสิ่งที่พวกเขาได้ประจักษ์ อสูรรับใช้ในรูปลักษณ์ของมังกรนามดราเชี่ยนหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวราวกับกำลังรอรับคำสั่ง เด็กสาวผู้เป็นนายเหวี่ยงแขนขึ้นไปบนอากาศ ก่อนที่จะเอ่ยคำสั่งสังหารออกมา
“ทำลายเป้าหมาย”
เมื่อเอ่ยเช่นนั้นแล้ว มังกรอสุนีบาตก็ทำตามคำสั่งอย่างไม่ลังเล มันกระพือปีกลอยขึ้นฟ้าอีกครั้ง พร้อมแผดเสียงคำรามดังกึกก้อง
ก่อนที่มันจะปล่อยลำแสงสายฟ้าออกมาจากปาก โดยมีเป้าหมายคือกลุ่มสามสาวแสบที่เป็นเป้านิ่งเพราะยังคงตกอยู่ในสภาพตกตะลึงไม่หาย
เมื่อลำแสงนั้นพุ่งไปสู่เป้าหมาย ก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว เศษดินและเศษฝุ่นฟุ้งกระจายจนมองไม่เห็นอะไร เมื่อฝุ่นที่บดบังทัศนวิสัยจางลง บนพื้นก็ปรากฏร่องรอยของการถูกทำลายด้วยลำแสงสายฟ้าจนเกิดเป็นหลุมตื้นๆ ซึ่งในหลุมนั้นก็มีร่างกายที่หมดสภาพของสามสาวแสบนอนอยู่
คำพูดดูแคลนในตอนแรกได้ย้อนกลับมาตามสนอง เพราะฝ่ายที่แพ้โดยที่ยังไม่ทันได้เรียกอาวุธออกมาคือฝ่ายพวกเธอเสียเอง แถมฝ่ายตัวเองยังมีจำนวนมากกว่าอีกต่างหาก
‘รุกฆาต! ผู้ชนะคือ ซิลวี่ ลาวาริเอลล์!’
การประลองจบลงอย่างรวดเร็วภายในไม่ถึงนาที โดยฝ่ายที่มีจำนวนน้อยกว่าอย่างซิลวี่แทบไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
สามสาวแสบยังตกอยู่ในสภาพช็อกและนั่งนิ่งอยู่กับที่ แม้พวกเธอทั้งสามจะถอดอุปกรณ์ VR ออกมาแล้วก็ตาม ส่วนทางด้านซิลวี่นั้นก็ถอดอุปกรณ์ออกมาช้าๆ แล้วเดินไปหาหัวโจกของกลุ่มสาวแสบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ถ้ารู้ตัวว่าห่วยก็อย่าวางก้ามให้มันมากนักสิ แพ้ขึ้นมามันน่าขายหน้านะรู้ไหม”
ซิลวี่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา โดยไม่ใส่ใจว่าคำพูดเหล่านั้นจะส่งไปถึงอีกฝ่ายที่ดูไม่รับรู้สิ่งรอบข้างแล้วหรือเปล่า
หลังจากจบการประลอง ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมีคำถามเดียวกันอยู่ในใจ ว่าเหตุใดอสุรกายอย่างเธอถึงได้เลือกย้ายมาเรียนที่นี่กันนะ
----------------------------------------------------
“เฮ้ๆ เรื่องนักเรียนสาวสวยจากอังกฤษเมื่อวานน่ะ...”
“อืม รู้เรื่องแล้ว เห็นว่าซัดหัวโจกในห้องที่มาหาเรื่องสามคนรวดด้วยตัวคนเดียวเลยใช่ไหม?”
“ใช่ๆ แต่เห็นว่านางหยิ่งสุดๆเลยล่ะ มีคนพยายามไปคุยด้วยแต่ก็โดนเมินใส่หมดเลย”
“เธอยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่คล่องหรือเปล่า?”
“ไม่จริงอ่ะ ตอนสอนมวยยัยสามหัวโจกนั่นยังไปพูดดูถูกเป็นภาษาญี่ปุ่นปร๋อเลย”
“...รู้สึกไม่ถูกชะตาเอาซะเลย ทำอย่างกับว่าตัวเองเป็น ‘เจ้าหญิง’ อย่างนั้นแหละ”
วันรุ่งขึ้น ประเด็นของนักเรียนสาวจากอังกฤษนาม ซิลวี่ ลาวาริเอลล์ ยังคงถูกพูดถึงกันอย่างเผ็ดร้อน แต่ดูท่าทางจะเป็นความเห็นในด้านลบเสียส่วนใหญ่
แม้ว่าชัยชนะจากการประลองระหว่างตัวเธอกับสาวแสบประจำห้องจะทำให้ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องเธอแล้วก็จริง แต่ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวของเธอก็ทำให้ไม่มีใครอยากเข้ามายุ่งด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนั้น เธอจึงได้รับฉายาแบบเหน็บแนมว่า ‘เจ้าหญิง’ เพราะทำตัวเหมือนเจ้าหญิงจอมเย่อหยิ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีกลุ่มคนบางส่วนรู้สึกชื่นชมเธอ อาจจะเป็นเพราะความสวยและความสามารถของเธอหรืออะไรก็ตามแต่
เรื่องราวของซิลวี่ไม่ได้ถูกพูดถึงเพียงแค่ในส่วนของระดับชั้นมัธยมปลายปีสามเท่านั้น ในระดับชั้นปีหนึ่งและสองเองก็ต่างได้รับรู้เรื่องราวของเธอแล้วเช่นกัน
จึงกลายเป็นว่า เรื่องราวของซิลวี่ได้ถูกพูดถึงกันทั่วทั้งโรงเรียนมิไรเคียวเพียงชั่วข้ามคืนราวกับไฟลามทุ่ง
คันซากิ อาสึนะ ที่เดินทางมาถึงห้องเรียนของตนแต่เช้าตรู่ ก็ได้ยินเรื่องราวของซิลวี่มาตลอดทางจากนักเรียนที่พูดคุยกันเพื่อรอเข้าเรียน ซึ่งแน่นอนตัวเขาเองที่ไม่ได้ติดตามเรื่องราวอะไรพวกนี้อยู่แล้วจึงได้แต่สงสัยว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังพูดถึงใคร แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ได้ใส่ใจอะไรขนาดนั้นก็ตาม
บวกกับความง่วงซึมที่ยังหลงเหลืออยู่ค่อนข้างมากเพราะตื่นแต่เช้า เขาเลยยังไม่อยากรับรู้อะไรมากมายนัก
“เรื่องของนักเรียนปีสามที่ย้ายเข้ามาใหม่น่ะ”
จู่ๆ ชิโนดะ เร็น ก็โผล่มายืนอยู่ข้างๆอาสึนะแล้วพูดโพล่งขึ้นมาจนเขาสะดุ้งเฮือก ทั้งตกใจที่จู่ๆเร็นก็โผล่มา และตกใจที่รู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังสงสัยเรื่องนั้นอยู่
“นายเกือบทำฉันฉี่แตกรู้ตัวไหม?”
“ฉี่ไม่ใช่แก้วมันจะแตกได้ยังไง?”
“มุกหรอวะนั่น...”
“เดี๋ยวนายคงจะถามอีกว่า แล้วฉันรู้ได้ไงว่านายกำลังสงสัยเรื่องนี้อยู่ ตอบให้เลยละกันว่าแค่ฉันเห็นท่าทางของนายตอนเดินตามมาจนถึงห้องก็เดาออกแล้ว”
“เป็นสตอล์กเกอร์หรือไง! เอาเถอะ ยังไงฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรปานนั้นซะหน่อย”
“แต่เรื่องนี้เป็นประเด็นร้อนแรงเลยนะคะ!”
คราวนี้เป็น มิยาตะ จูริ เหยี่ยวข่าวสาวซึ่งเคยทำข่าวเรื่องของอาสึนะกับประธานยูกิ ที่โผล่พรวดขึ้นมาจนอาสึนะสะดุ้งเฮือกอีกหน
“ช่วยโผล่มาแบบปกติๆกันจะได้ไหมเนี่ย...”
“อ๊ะ ก่อนอื่นฉันยังไม่ได้ขอบคุณคุณคันซากิเลย ที่ทำให้ฉันได้ก่อตั้งชมรมหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอย่างเป็นทางการซะที เพราะข่าวการประลองระหว่างนายกับประธานโยชิดะแท้ๆที่ทำให้ผลงานของฉันมีชื่อเสียงขึ้นมาได้”
“เอ่อ ไม่เป็นไร”
“เอาล่ะค่ะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ประเด็นสุดร้อนแรงที่กำลังถูกพูดถึงในขณะนี้ คือเรื่องราวของนักเรียนปีสามจากประเทศอังกฤษ ตำแหน่งควีน นามว่า ซิลวี่ ลาวาริเอลล์!”
เมื่อจูริพูดจบ เธอก็หันหน้าจอของสมุดประจำตัวนักเรียนมาทางอาสึนะ ซึ่งมีรูปของนักเรียนสาวชาวต่างชาติที่กำลังเป็นประเด็นถูกพูดถึงในตอนนี้อยู่บนนั้น
“จากข้อมูลที่ฉันได้รับมา เธอย้ายมาจากวัลคิเรียสาขาอังกฤษ สาขาหลักของโรงเรียนวัลคิเรีย ซึ่งเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่งในทวีปยุโรป นับว่าเป็นปริศนาสุดๆว่าทำไมเธอถึงเลือกย้ายมาเรียนที่ญี่ปุ่น เพียงวันแรกที่ย้ายมา ก็เอาชนะสามหัวโจกที่มาหาเรื่องเธอในกติกาสามรุมหนึ่งได้อย่างสบายๆ ที่สำคัญที่สุด คือเธอมีความสามารถในการควบคุมอสูรรับใช้ ไอเท็มสุดแรร์ซึ่งผู้เล่นที่จะได้ครอบครองแทบจะนับหัวได้!”
“อสูรรับใช้งั้นหรอ?”
“ด้านอุปนิสัยส่วนตัวนั้นค่อนข้างเย็นชาและเย่อหยิ่ง บางคนคิดว่าเธออาจจะแค่ยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ แต่จริงๆแล้วพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวเช่นนั้น เธอจึงได้รับฉายาว่า ‘เจ้าหญิง’ เพราะงั้นข้อมูลที่ฉันได้รับมาจึงมีเพียงเท่านี้ เพราะเจ้าตัวเองไม่ยอมสุงสิงกับใคร และไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่งด้วย... ไม่ว่าจะเรื่องที่เธอย้ายมาเรียนที่นี่ก็ดี หรือเรื่องการที่เธอเป็นผู้ครอบครองอสูรรับใช้ก็ดี นับว่าเธอเป็นบุคคลที่น่าค้นหาสุดๆไปเลยล่ะ!”
“ฟังแล้วปวดหัวชะมัดยาดเลยแฮะ...”
บางทีอาจเพราะอาสึนะยังไม่รู้สึกสดชื่นดีจากการตื่นนอน เขาเลยเริ่มรู้สึกปวดหัวอย่างที่ว่าไว้ตามนั้นจริงๆ ส่วนเร็นก็พยักพเยิดไปตามที่จูริพูดแต่ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจจริงๆหรือเปล่า
“ที่ฉันว่ามาทั้งหมดก็คือบทความจากหนังสือพิมพ์โรงเรียนฉบับวันนี้ของชมรมฉันเองแหละ เพราะเห็นเป็นคุณคันซากิฉันเลยบรรยายให้ฟังโดยไม่ต้องอ่านเองเลยนะ เป็นการตอบแทนที่ทำให้ชมรมหนังสือพิมพ์ของฉันได้เกิดขึ้นมาไงล่ะ!”
ที่เรื่องราวของซิลวี่ดังไปทั่วทั้งโรงเรียนก็คงจะเป็นฝีมือเธอนี่เอง
แต่ตอนนี้อาสึนะชักจะปวดหัวจริงๆแล้ว
“ฉันขอตัวก่อน”
“จะไปไหน คาบเรียนจะเริ่มแล้วนะ”
“ห้องพยาบาล ชักจะปวดหัวจริงๆแล้ว”
“คุณคันซากินี่ล่ะก็ เห็นประเด็นร้อนเป็นเรื่องปวดหัวซะได้”
อาสึนะเดินออกจากห้องเรียนไปที่ห้องพยาบาลโดยไม่ได้สนใจคำพูดของเร็นและจูริเท่าไหร่
พออาสึนะมาถึงหน้าห้องพยาบาลแล้ว เขาก็อดหวนนึกถึงวันเปิดเรียนวันแรกของเขาไม่ได้
วันนั้นเขาเองก็ตั้งใจจะไปนอนพักที่ห้องพยาบาลเช่นกัน แต่ใครจะคิดว่าการตัดสินใจแบบนั้นจะทำให้เขาได้ไปพัวพันกับเรื่องยุ่งๆหลายอย่างไปซะได้
อาสึนะตัดสินใจสลัดเรื่องพวกนั้นออกจากหัว เรื่องยุ่งๆพวกนั้นจบลงแล้ว จากนั้นก็เอื้อมไปจับลูกบิดประตูห้งพยาบาล
(หือ ล็อค?)
บางทีช่วงเช้าตรู่แบบนี้ประตูห้องบางห้องคงจะยังไม่ถูกเปิด อาสึนะจึงตัดสินใจเดินเลยห้องพยาบาลไปที่บันได แล้วขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด
(นอนดาดฟ้าแทนแล้วกัน)
ดาดฟ้า หนึ่งในสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของนักเรียนแทบจะทุกโรงเรียน เพราะเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ มีลมพัดเย็นสบายเป็นระยะๆ ประตูดาดฟ้าไม่ได้ล็อคไว้ อาสึนะจึงเปิดประตูออกไปรับอากาศภายนอก
เขาสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด อาการปวดหัวตุบๆเลยเริ่มทุเลาลงแล้ว แต่เขาก็ยังอยากนอนอยู่ดี จึงเริ่มหันมองหาทำเลดีๆสำหรับนอนพัก
“อื้มมม ว่าแล้วเชียว ยากิโซบะเบรดของญี่ปุ่นนี่ยอดเยี่ยมอย่างที่คิดไว้จริงๆ!”
เสียงพูดภาษาญี่ปุ่นสำเนียงแปลกๆของผู้หญิงดังขึ้นทำให้อาสึนะเพิ่งรู้ตัวว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว
และดูเหมือนเจ้าของเสียงนั้นเองก็เพิ่งรู้สึกตัวแบบเดียวกัน
ทั้งสองฝ่ายต่างหันไปมองสบตากัน สีหน้าของทั้งคู่แสดงถึงความตกใจในระดับหนึ่ง
เจ้าของเสียงสำเนียงแปลกนั้นกำลังนั่งเคี้ยวขนมปังจนแก้มตุ่ย ก่อนที่จะค่อยๆกลืนลงไปเมื่อได้เห็นอาสึนะ ริมฝีปากอวบอิ่มของเธอนั้นเปื้อนซอส ในมือถือขนมปังยากิโซบะครึ่งชิ้นเอาไว้ ข้างๆตัวยังมีถุงพลาสติกใสที่น่าจะมีขนมปังยากิโซบะอีกประมาณห้าชิ้นเห็นจะได้อยู่
นี่คงจะเป็นแค่การบังเอิญไปเห็นคนกำลังกินขนมปังยากิโซบะบนดาดฟ้าเฉยๆ หากคนๆนั้นไม่ใช่คนที่กำลังตกเป็นประเด็นใหญ่สุดร้อนแรงในโรงเรียนขณะนี้
ซิลวี่ ลาวาริเอลล์ นั่นเอง
อาสึนะรู้สึกเหมือนเดจาวู
เขาสังหรณ์ใจว่าตัวเองกำลังจะได้ไปพัวพันกับเรื่องยุ่งๆครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่เกินคาดเดาในไม่ช้า