“ฉั๊วะ” เสียงของดาบตัดผ่านร่างของมนุษย์ดังขึ้น
ทหารในชุดเกราะของคิโดร่าทรุดลงไป หน้าท้องของชายคนนี้ถูกเปิดออก เลือดนั้นไหลออกจากหน้าท้องชายคนนี้ ชายคนนั้นล้มลงไปกับพื้นและกลายเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณเท่านั้น บิลลี่ที่ถือดาบอยู่ใกล้ๆมองด้วยความเหนื่อยล้า ดาบของเขานั้นเปื้อนเลือด เช่นเดียวกันกับชุดเกราะที่มีคราบเลือดติดอยู่ หลังของบิลลี่นั้นชนกับหลังของแฟลมม่าที่หายใจด้วยความเหนื่อยล้า รอบๆพวกเขานั้นเต็มไปด้วยทหารของอาณาจักรกราเดลและอาณาจักรคิโดร่าที่สู้กันเพื่อเอาชีวิตรอด ทหารของพวกคิโดร่าตรงไปหาแฟลมม่า หญิงผมสีแดงยกมือขึ้นพร้อมกับท่องคาถา เปลวเพลิงนั้นลอยออกมาก่อนจะเผาร่างของทหารคิโดร่าคนนั้น เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น ชายที่ถูกเปลวเพลิงแผดเผาล้มลงไป เสียงร้องเขาหายไปก่อนที่เขาจะนิ่งไปในที่สุด
“เยอะเป็นบ้า” บิลลี่บ่นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า
“เจ้าไหวไหม แฟลมม่า?” ชายผมสีทรายเหลือบไปมองแฟลมม่าที่ยืนหอบอยู่ข้างหลังตัวเอง
“ยังไหวอยู่พะยะค่ะ” แฟลมม่าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
บิลลี่มองหน้าของแฟลมม่าที่ดูเหนื่อยล้าซักพักก่อนที่เขาจะพูดกับเธอ
“อย่าฝืนก็แล้วกัน” เรซอร์พูดกับแฟลมม่า
หญิงผมแดงพยักหน้า พร้อมกับยิ้มให้กับบิลลี่ ทั้งคู่ได้ยินเสียงของทหารพวกคิโดร่าตรงเข้ามาหาตนเอง ก่อนที่พวกมันจะได้ยกดาบ บิลลี่ใช้ดาบของตัวเองปัดดาบของทหารคิโดร่า ดาบนั้นตกลงก่อนจะเสียบกับพื้น ชายผมบลอนด์ใช้ดาบปาดหน้าท้องของทหารคนนี้
“ให้ตายซิ ไม่มีข่าวมาจากองค์ราชินีเลย” บิลลี่บ่นด้วยน้ำเสียงกังวล
”ท่านวาริสก็ไม่แจ้งข่าวเหมือนกัน” แฟลมม่าพูดด้วยน้ำเสียงกังวลเช่นกัน
ทั้งสองเหลือบเห็นชายในเสื้อผ้าสีชมพูที่ยืนห่างออกไป เขาถูกล้อมรอบด้วยทหารของพวกคิโดร่า บนไหล่ของเขาแบกชายคนหนึ่งอยู่ มืออีกข้างนั้นถือดาบไว้ ด้วยระยะที่ไกลทำให้บิลลี่และแฟลมม่าไม่สามารถมองออกได้ว่าชายที่ถูกแบกอยู่นั้นเป็นใคร แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ดูออกว่าเจ้าของเสื้อสีชมพูที่ดูแสนจะสดใสนั้นเป็นใคร
“เวตาล่า?” บิลลี่พูดขึ้น
“เรารีบไปช่วยเถอะ” ชายผมสีบลอนด์หันมาพูดกับแฟลมม่า
หญิงผมแดงพยักหน้ารับคำสั่ง ในขณะเดียวกันนั้นเวตาล่ายืนอยู่ท่ามกลางเหล่านักรบจากอาณาจักรคิโดร่า ทหารในชุดเกราะสีแดงขยับเข้ามาช้าๆ สายตาของเวตาล่ามองทหารเหล่านั้นด้วยความใจเย็น ทหารของคิโดร่าที่หมดความอดทนเร่งฝีเท้าเข้ามาพร้อมกับดาบในมือ เวตาล่าแม้จะแบกร่างที่แน่นิ่งของชายคนหนึ่งอยู่ เขาก็สามารถหลบดาบนั้นได้อย่างง่ายดาย ชายตาเดียวใช้ดาบในมือของเขาฟันหน้าท้องของทหารคิโดร่า หูของเวตาล่าได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนตรงมา เวตาล่าแกว่งดาบไปตามเสียงที่เขาได้ยิน ดาบนั้นตัดผ่าหน้าท้องของทหารคิโดร่าที่หมายชีวิตเขา เลือดนั้นกระเซ็นติดใบหน้าของเวตาล่าเล็กน้อย
“ตายซะ” ทหารของพวกคิโดร่าคำรามก่อนจะตรงมาพร้อมกับหอกยาว
เวตาล่าก้มหลบเล็กน้อยก่อนจะใช้เท้ากวาดร่างของทหารคิโดร่าคนนั้น ทหารที่ถูกตัดสมดุลล้มลงไปกับพื้นดิน เวตาล่าใช้ดาบปักลงไปยังหัวใจของทหารคนนั้น เขาดึงดาบออกมาก่อนจะมองไปยังทหารของคิโดร่ารอบๆที่ดูเหมือนจะเริ่มกลัว แม้ชายในชุดซอมซ่อจะใช้เพียงแค่มือเดียว แต่ดูเหมือนทหารพวกนี้จะไม่สามารถเทียบชั้นชายผิวแทนคนนี้ได้เลย เวตาล่ายังคงมองผู้ที่ยืนรอบเขา ทหารคิโดร่ามองหน้ากันเองก่อนจะตัดสินใจวิ่งตรงไปหาเวตาล่าพร้อมกัน ชายผมดำคนนี้ตั้งดาบเตรียมรับการบุกรุกของศัตรู แต่ไม่ทันที่ทหารพวกนี้จะถึงตัวเวตาล่า บิลลี่และแฟลมม่าก็กระโดดมาปัดดาบของทหารคิโดร่าและใช้อาวุธของตัวเองแทงสวนเข้าไปยังหน้าท้องของศัตรู พวกคิโดร่าล้มลง ทั้งบิลลี่และแฟลมม่าหันกลับมาหาเวตาล่าที่ยืนอยู่
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” บิลลี่หันไปถามเวตาล่าที่ยืนข้างหลัง
“ข้าไม่เป็นไร?” เวตาล่าตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
ในขณะที่บิลลี่ยืนอยู่ เขาก็เหลือบเห็นชายที่หมดสติอยู่บนไหล่ของเวตาล่า เพียงแค่ชั่วพริบตาบิลลี่ก็รู้ทันทีว่าชายคนนี้เป็นใคร ชายร่างเล็กผมสีดำที่เป็นเอลฟ์ เครื่องแบบชุดสีเขียวที่ชายผู้นี้ใส่ซ้ำซากเกือบทุกวัน
“วาริส?” บิลลี่อุทานออกมา
“อ่อใช่ ข้าเห็นเขาสลบอยู่บนทางเดิน ข้าก็เลยพาเขาออกมาน่ะ” เวตาล่าเล่าให้ฟัง
“ทางเดิน?” แฟลมม่าอุทานด้วยสีหน้าตกใจ
“อืม ทำไมหรือ?” เวตาล่าทำหน้าสงสัย
“ถ้างั้นจะเป็นไปได้รึเปล่าว่าองค์ราชินีจะกลับมาถึงท้องพระโรงและให้วาริสแจ้งข่าวออกมา” หญิงผมแดงหันมาถามพี่ชายขององค์ราชินี
“ก็เป็นไปได้” บิลลี่พยักหน้ากับสิ่งที่แฟลมม่าพูด
ชายผมสีทรายจับคางของตัวเอง สีหน้าของเขาดูครุ่นคิด เขาลดมือลงก่อนจะหันไปหาเวตาล่า
“ข้าฝากเจ้าพาวาริสไปยังเต้นท์พยาบาลด้วยนะ”
“เข้าใจล่ะ ไว้ใจข้าได้เลย” เวตาล่าพยักหน้ารับคำสั่งของชายผมบลอนด์
“ทหารส่วนนึงตามข้ามา” บิลลี่ตะโกน
คำสั่งนี้ทำให้ทหารส่วนหนึ่งหันมายังบิลลี่ ก่อนที่ชายผมสีทรายจะก้าวเท้าออกไปเขาหันมายังแฟลมม่าที่ยืนอยู่ข้างหลังตน
“เจ้าก็ด้วย เจ้าตามข้ามา”
หญิงผมแดงพยักหน้าก่อนจะเดินตามบิลลี่และกองทัพจำนวนหนึ่งไป
=====
“ตึง” เสียงของดาบฟันลงพื้น
ดาบของนักรบอเวจีตัวนี้กระแทกกับพื้น พื้นกระเบื้องสีเหลืองนั้นร้าวเมื่อดาบที่มีน้ำหนักกระแทกลงไป คาสซานดร้าหลบคมดาบนี้ได้หวุดหวิด องค์ราชินีพยายามใช้ดาบฟันเข้าไปยังหน้าท้องของนักรบชุดเกราะนี้ แต่คมดาบนั้นไม่สามารถเจาะผ่านชุดเกราะนั้นได้ แรงกระแทกของคมดาบเธอและเกราะที่ถูกย้อมด้วยเลือดนั้นทำให้ ตัวของคาสซานดร้าเซออกมา ชายในชุดเกราะยกร่างของคาสซานดร้าขึ้นมาก่อนจะเหวี่ยงเข้ากับกำแพง แต่องค์ราชินีแห่งอาณาจักรกราเดลสามารถพลิกตัวและยืนได้ คาสซานดร้าเงยหน้าขึ้นมาและเห็นทหารชุดเกราะวิ่งมาพร้อมกับง้างดาบเล่มใหญ่ของมัน คาสซานดร้ายกดาบขึ้นมาเพื่อป้องด้วยสัญชาติญาณของเธอ ชายในชุดเกราะฟาดดาบของคาสซานดร้า เมื่อดาบของชายชุดเกราะคนนี้ปะทะกับดาบขององค์ราชินี ดาบนั้นแตกก่อนจะตกเป็นเศษชิ้นๆบนพื้น ชายชุดเกราะยกเท้าก่อนจะถีบเข้ากลางหน้าท้องของคาสซานดร้า
“โอ๊ย” คาสซานดร้าร้องออกมา
เธอถอยออกจากจุดที่เธอยืนอยู่ เธอกุมหน้าท้องด้วยความเจ็บปวด นักรบอเวจีตั้งดาบก่อนจะวิ่งตรงมายังคาสซานดร้าอีกครั้ง องค์ราชินีพยายามจะเคลื่อนตัว แต่ความเจ็บปวดนั้นไหลขึ้นมา เธอไม่สามารถขยับตัวได้ ดวงตาสีฟ้าของคาสซานดร้าสะท้อนภาพของชายในชุดเกราะคนนั้น เธอเตรียมรับสภาพกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่ทันที่คมดาบจะเฉือนร่างของราชินีมันก็มีเต่าสีฟ้าโปร่งปรากฏขึ้นมาต่อหน้าของคาสซานดร้ามันใช้กระดองของมันรับคมดาบเอาไว้ ชายในชุดเกราะหันกลับไปเห็นเรซอร์ที่ยื่นมือยังข้างหน้า ผู้อัญเชิญใช้มืออีกข้างจับท่อนแขนของตัวเองไว้
“แก...ตายซะ!!” ชายในชุดเกราะคำรามด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
มันหันและวิ่งตรงมายังเรซอร์ คาสซานดร้าพยายามจะออกไปช่วย แต่บาดแผลนั้นรั้งเธอไว้ นักรบปริศนากับดาบของมันแน่น ดาบของมันลุกโฉนไปด้วยเปลวเพลิง มันง้างก่อนจะเตรียมลงดาบ เรซอร์ได้แต่ภาวนาให้เต่าของเขานั้นกลับมาป้องกันเขา และความปรารถนาของเรซอร์ก็เป็นจริง สัตว์อัญเชิญนั้นมารับดาบของชายในชุดเกราะไว้ เรซอร์มองเข้าไปในดวงตาของชายชุดเกราะคนนี้ มันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความโกรธแค้น นัยน์ตาของชายคนนี้เต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความเกลียด
“เจ้าเป็นใคร? ทำไมเจ้าถึงเกลียดข้าขนาดนี้” เรซอร์เอ่ยปากถาม
ในขณะเดียวกันนั้นเจโน่กับอีฟก็กำลังต่อสู้กันอยู่ ระยะของสนามประลองทั้งสองไม่ไกลจากจุดที่เรซอร์ยืนอยู่เท่าไหร่นัก เสียงปืนระเบิดขึ้นเป็นระยะๆ แต่กระสุนนั้นยังไม่สามารถเจาะร่างของทั้งสองได้ เสียงปลอกกระสุนตกลงพื้นดังอยู่เป็นระยะๆ บนพื้นกระเบื้องนั้นเต็มไปด้วยปลอกกระสุน แม้จะยิงไปหลายนัด แต่การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่สามารถตัดสินผลได้ ไม่รู้เป็นเพราะฝีมือของทั้งสองนั้นมากเหมือนกัน หรือแท้จริงแล้วทั้งคู่ไม่สามารถงัดความสามารถของทั้งคู่ออกมาได้ เจโน่กับอีฟต่างลั่นไกพร้อมกัน แต่สิ่งที่ทั้งสองได้ยินคือเสียงที่บ่งบอกว่ากระสุนในปืนนั้นหมดกระบอกแล้ว
“ดูเหมือนเจ้ากระสุนจะหมดแล้วนะ” เจโน่พูดกับอดีตของสหายตัวเอง
“เจ้าก็เหมือนกันนั่นแหละ” อีฟตอบกลับ
ทั้งสองมองเข้าไปในดวงตาของซึ่งกันและกัน นัยน์ตาของทั้งสองนั้นสะท้อนไปด้วยประวัติศาสตร์ของมากมาย เรื่องราวหลายร้อนเรื่องที่ถูกเขียนขึ้นมาโดยมีทั้งสองเป็นศูนย์กลาง
“เจ้า...คิดๆดีแล้วใช่ไหมว่าเจ้าจะหักหลังพวกเรา” อีฟถามเป็นครั้งสุดท้าย
“ข้าตัดสินใจแล้ว” เจโน่ตอบสั้นๆด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ของเธอ
ทันใดนั้นเพลงคลาสสิคก็ถูกบรรเลงขึ้นมา เสียงเพลงนั้นดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า เสียงเพลงนั้นมาจากเรือเหาะที่ยังคงลอยอยู่บนผืนนภา ทุกคนนั้นหยุดอยู่กับที่และต่างฟังเสียงดนตรีที่ถูกบรรเลง เพลงนั้นหยุดลง เหล่าทหารของคิโดร่าต่างวิ่งถอยออกไปโดยไม่ได้บอกกล่าวอะไรทั้งสิ้น
“ลาก่อน เจโน่” อีฟพูดก่อนจะวิ่งออกไปจากท้องพระโรงเหมือนกัน
อสูรกายหุ้มเกราะหยุดและมองหน้าของเรซอร์พร้อมกับออกจากสถานที่แห่งนี้ เหล่าทหารแห่งอาณาจักรกราเดลได้ทำหน้าฉงนกับสิ่งที่เกิดขึ้น “นั่นคืออะไร?” ทุกคนต่างตั้งคำถามเหมือนกัน แต่ไม่นานคำถามนั้นก็มีคำตอบ
“บึ้ม” เสียงของปืนใหญ่ดังขึ้นมา
มันมาจากปืนใหญ่ของเรือเหาะ กระสุนนั้นลอยไปยังจุดที่ท้องพระโรงตั้งอยู่ แรงระเบิดนั้นทำให้ร่างของเรซอร์ คลาสซานดร้าและเจโน่กระเด็น เปลวเพลิงนั้นเริ่มลุกโฉนขึ้นมา ไม่นานนักท้องพระโรงและบริเวณรอบๆก็ท่วมไปด้วยอัคคี เรซอร์ที่นอนอยู่บนพื้นลืมตาช้าๆ เขาเห็นเปลวไฟนั้นครอบงำสถานแห่งนี้ ชายผมขาวรวบรวมแรงและลุกขึ้นมาจากพื้น ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเขาก็เห็นแต่เปลวไฟ เรซอร์พยายามกวาดสายตาหาคาสซานดร้าและเจโน่ ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาก็เห็นร่างของหญิงทั้งสอง เรซอร์รีบวิ่งไปยังทั้งหญิงผมดำทั้งสองที่นอนอยู่บนพื้น
“เจโน่ องค์ราชินี ตื่นเถิด” เรซอร์เรียกชื่อทั้งสอง
แต่ผู้ถูกเรียกนั้นไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกับเรซอร์ ชายผมขาวยังคงเรียกอีกครั้ง แต่ทั้งสองก็ยังคงนิ่ง เรซอร์จับคอของทั้งคู่ ทั้งสองยังคงมีชีวิตอยู่ เสานั้นเริ่มพังลงมา เพราะถูกเปลวไฟกัดกิน ชายผมขาวเขย่าตัวพร้อมกับเรียกชื่อของหญิงทั้งสองที่หมดสติ ในขณะที่เรซอร์เรียกดวงตาของเขาก็พลางมองสิ่งของรอบๆตัวที่ถูกทำลายลงที่อย่าง
“ดูเหมือนเราจะมีทางเลือกเดียวนะ” เรซอร์พูดกับตัวเอง
เขานำร่างของหญิงทั้งสองแบกอยู่บนแผ่นของตัวเอง เรซอร์เริ่มออกเดินช้าๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่และเขาก็อยากจะทำทุกวิถีทางที่ช่วยหญิงทั้งสองนี้ไว้